Proof of Work คืออะไร ใน Bitcoin

Sept. 10, 2025, 4:05 a.m.
...

Proof of Work (PoW) คืออะไรใน Bitcoin

เมื่อพูดถึง Bitcoin หนึ่งในคำสำคัญที่มักถูกกล่าวถึงคือ Proof of Work (PoW) ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ทำให้เครือข่าย Bitcoin ทำงานได้อย่างปลอดภัยและไร้ศูนย์กลาง หลายคนอาจสงสัยว่า PoW คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และมันมีส่วนช่วยให้การทำธุรกรรมใน Bitcoin เชื่อถือได้อย่างไร บทความนี้จะอธิบายแบบเข้าใจง่าย


Proof of Work คืออะไร?

Proof of Work (แปลตรงตัวว่า “หลักฐานการทำงาน”) คือวิธีการยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมและสร้างบล็อกใหม่ในบล็อกเชน ผู้ที่เข้าร่วมในระบบซึ่งเราเรียกว่า นักขุด (Miners) จะต้องใช้พลังคอมพิวเตอร์ในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน โดยแข่งขันกันหาคำตอบที่ถูกต้อง ใครที่สามารถหาคำตอบได้ก่อน จะได้สิทธิ์บันทึกธุรกรรมใหม่ลงในบล็อกเชน พร้อมทั้งได้รับรางวัล (Block Reward) เป็น Bitcoin และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม


PoW ทำงานอย่างไรใน Bitcoin

กลไก Proof-of-Work สามารถอธิบายได้ง่าย ๆ ว่าเหมือนการจับสลากหรือลอตเตอรี่ นักขุดทุกคนแข่งขันกันสุ่มค่าต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอคำตอบที่ถูกต้องตามที่เครือข่ายกำหนด ใครที่เจอคำตอบก่อนก็จะได้สิทธิ์ในการสร้างบล็อกใหม่และประกาศให้เครือข่ายรับรู้ กระบวนการขุดเริ่มต้นจากการที่นักขุดเชื่อมต่อกับเครือข่ายและเฝ้ารับธุรกรรมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น จากนั้นธุรกรรมเหล่านี้ เช่น การที่ Alice ส่ง Bitcoin ให้ Bob จะถูกกระจายไปยังทุกคนในเครือข่าย นักขุดจะนำธุรกรรมเหล่านั้นมารวมกันในบล็อกที่ตนเองกำลังสร้าง พร้อมทั้งเริ่มสุ่มค่า nonce หลายครั้งและคำนวณแฮชซ้ำไปเรื่อย ๆ เพื่อหาผลลัพธ์ที่ตรงตามเงื่อนไขของระบบ หากนักขุดคนใดหาค่าแฮชที่มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับค่าเป้าหมาย (Target) ได้ก่อน คน ๆ นั้นจะถือว่าชนะการแข่งขันและสามารถประกาศบล็อกใหม่ให้ทั้งเครือข่ายรับรู้เมื่อมีการประกาศบล็อกใหม่ เครือข่ายจะไม่ยอมรับทันที แต่จะทำการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่อยู่ภายในก่อน หากทุกอย่างถูกต้อง บล็อกนั้นก็จะถูกเพิ่มลงในบล็อกเชนและถูกบันทึกไว้ในประวัติธุรกรรมของทุกคนในเครือข่าย กลไกนี้ช่วยให้เครือข่าย Bitcoin มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากการขุดบล็อกต้องใช้พลังงานและทรัพยากรจำนวนมาก ผู้ที่คิดจะโจมตีหรือพยายามแก้ไขธุรกรรมในอดีตต้องใช้ต้นทุนมหาศาล ซึ่งในทางปฏิบัติแทบจะไม่คุ้มค่าและไม่สามารถทำได้สำเร็จ


ระบบปรับสมดุล (Difficulty Adjustment)

หนึ่งในความอัจฉริยะของ Bitcoin คือกลไก ปรับความยาก (Difficulty Adjustment) ซึ่งจะปรับทุก ๆ 2016 บล็อก หรือประมาณ 2 สัปดาห์ หากพลังการขุดเพิ่มขึ้นมากจนบล็อกถูกสร้างเร็วเกินไป ระบบก็จะปรับให้โจทย์ยากขึ้น แต่ถ้าพลังการขุดลดลงและบล็อกถูกสร้างช้าลง ระบบก็จะปรับให้ง่ายขึ้น เป้าหมายคือทำให้เวลาเฉลี่ยในการสร้างบล็อกคงที่ที่ประมาณ 10 นาทีต่อบล็อก กลไกนี้ทำให้เครือข่าย Bitcoin มีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้ แม้จำนวนผู้ขุดจะแปรผันตามสภาพเศรษฐกิจหรือต้นทุนค่าไฟ


กลไกควบคุมเงินเฟ้อ (Halving)

อีกหนึ่งกลไกสำคัญของ Bitcoin คือ การ Halving ซึ่งเกิดขึ้นทุก ๆ 210,000 บล็อก หรือประมาณทุก 4 ปี รางวัลที่นักขุดได้รับจะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง เริ่มจาก 50 BTC ต่อบล็อกในปี 2009 ลดเหลือ 25 BTC ในปี 2012, 12.5 BTC ในปี 2016, 6.25 BTC ในปี 2020 และล่าสุดคือ 3.125 BTC หลังการ Halving ปี 2024 กลไกนี้ทำให้จำนวน Bitcoin มีขีดจำกัดสูงสุดที่ 21 ล้านเหรียญ และช่วยควบคุมเงินเฟ้อโดยธรรมชาติ ยิ่งเวลาผ่านไป รางวัลจากการขุดจะน้อยลง ทำให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมมีบทบาทมากขึ้น


แรงจูงใจของนักขุด 

PoW ถูกออกแบบมาให้แรงจูงใจของนักขุดสอดคล้องกับความปลอดภัยของเครือข่าย นักขุดต้องลงทุนในเครื่องขุดและไฟฟ้า หากขุดสำเร็จจึงจะได้รางวัล แต่ถ้าพยายามโกง เช่น สร้างธุรกรรมปลอม พวกเขาจะสูญเสียต้นทุนมหาศาลโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ ยิ่งมีการแข่งขันมาก เครือข่ายก็ยิ่งแข็งแกร่งและปลอดภัยขึ้น โอกาสในการโจมตีก็จะน้อยลง ระบบนี้จึงอาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความร่วมมือ โดยไม่จำเป็นต้องมีตำรวจหรือธนาคารกลางคอยควบคุม


Proof of Work คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ Bitcoin ทำงานได้อย่างปลอดภัยและไร้ศูนย์กลาง ความสำเร็จของ PoW มาจากการผสมผสานของกลไก Difficulty Adjustment ที่รักษาสมดุลของระบบ, Halving ที่ควบคุมปริมาณเงิน และ แรงจูงใจของนักขุด ที่ทำให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องการใช้พลังงาน แต่ PoW ก็พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างระบบเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ที่เชื่อถือได้อย่างแท้จริง